Migraine Prevention

Migraine Professional
Migraine Professional
28 Sep 2023 Therapy

Migraine Prevention

MIGRAINE PREVENTION

ไมเกรนเป็นโรคที่ไม่หายขาด แต่เป้าหมายของการรักษาคือทำให้อาการปวดเป็นไม่บ่อยและไม่รบกวนชีวิตประจำวันของผู้ป่วย การให้ยาป้องกันไมเกรน เป็นการป้องกันไม่ให้อาการปวดเป็นบ่อยและเป็นรุนแรงมากจนเกิดผลกระทบ

.

เราเริ่มให้ยาป้องกันไมเกรนเมื่อไหร่?

เป็นการป้องกัน เนื่องจากอย่างที่ทราบว่า โรคปวดศีรษะไมเกรนรักษาไม่หายขาด แต่สามารถใช้ยาเพื่อป้องกันอาการปวดที่จะเป็นบ่อยและกระทบต่อชีวิตประจำวันได้ โดยข้อบ่งชี้ในการให้ยาป้องกันได้แก่ เมื่อมีอาการปวดมากกว่า 4 ครั้งขึ้นไปต่อเดือน (เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า จำนวนอาการปวดศีรษะมากกว่า 4 วันต่อเดือน อาการปวดมีโอกาสที่จะดำเนินไปเป็นโรคไมเกรนเรื้อรังได้มากกว่า) โดย American Migraine Prevalence and Prevention Study มี recommendation ไว้ว่า การเริ่มยาควรเริ่มเมื่อมีอาการปวดที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างน้อย 4 วันต่อเดือน (หรือ 6 วันต่อเดือนหากอาการปวดไม่ได้กระทบต่อชีวิตประจำวัน) หรือ ปวดอย่างน้อย 3 วันต่อเดือนที่มีอาการมาก

โดย American Migraine Prevalence and Prevention Study มี recommendation ไว้ว่า การเริ่มยาควรเริ่มเมื่อมีอาการปวดที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างน้อย 4 วันต่อเดือน (หรือ 6 วันต่อเดือนหากอาการปวดไม่ได้กระทบต่อชีวิตประจำวัน) หรือ ปวดอย่างน้อย 3 วันต่อเดือนที่มีอาการมาก

.

 ก่อนเริ่มยาป้องกัน . . .

ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคาดหวังที่จะได้หลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยยาป้องกันไปแล้ว เนื่องจาก ผู้ป่วยบางรายมีความคาดหวังที่สูงเกินไป เช่น คาดว่าจะหายปวดหัว โดยที่ไม่ปวดอีก ทำให้คิดว่าการทานยาไม่ได้ผล เมื่ออาการปวดศีรษะไม่หายไปเลย จากงานวิจัยดูผลการตอบสนองของอาการปวดศีรษะต่อยา Topiramate 100 mg/d เมื่อมีการติดตามผู้ป่วยเป็นเวลา 26 สัปดาห์ พบว่ามี การลดจำนวนวันของอาการปวดศีรษะ > 50% จำนวน 48%, ลดจำนวนวัน 75% จำนวน 25% และ อาการปวดศีรษะไม่มีเลยเพียง 5% ซึ่งต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า การใช้ยาป้องกันไมเกรน จะทำให้อาการปวดศีรษะลดลง ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะลดลงและประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อยาแก้ปวดมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้การใช้ชีวิตประจำวันดีขึ้นไปด้วย

.

การเลือกยาป้องกันไมเกรนในการรักษาไมเกรน

 

สำหรับการเลือกยาที่ใช้เป็นยาป้องกันอาการปวดไมเกรน ก็คำนึงถึงในแง่ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงของยา โรคประจำตัวของผู้ป่วย (เพื่อหลีกเลี่ยงยาที่เป็นข้อห้าม) โดย American Headache Society (2012) ได้ recommend ยาที่มีหลักฐานทางการแพทย์ในการป้องกันไมเกรน ได้แก่ ยา Valproic acid, Topiramate, Metoprolol, Propranolol (Level A evidence) , Timolol, Amitryptylline, Venlafaxine, Atenolol (Level B evidence) ในการรักษาไมเกรน ส่วนในทางประเทศในแถบยุโรป ยังแนะนำการใช้ยา Flunarizine ในการรักษาอีกด้วย นอกจากการเลือกชนิดของยาให้ถูกต้องแล้ว การปรับยาให้ได้ขนาดที่แนะนำในการรักษาก็มีความสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับขนาดยาขึ้นให้ถึงขนาดที่เหมาะสม ต้องใช้วิธีในการปรับชึ้น เพื่อให้ร่างกายมีการปรับตัวและให้แน่ใจว่า ผู้ป่วยไม่มีผลข้างเคียงจากยา นอกจากนี้ หากการตอบสนองต่อการใช้ยาป้องกันไมเกรนที่อยู่ใน Level A หรือ B ไม่ได้ผลมากนัก อาจมีการพิจารณาในการใช้ยาป้องกันที่อยู่ใน Level C หรือ Level U ในการรักษาหรือเสริมการรักษากับยาหลัก เช่น Candesartan, Gabapentin, Acetazolamide เป็นต้น

ได้มีการแนะนำยาป้องกัน ตามแนวทางการรักษาของแต่ละประเทศอีกด้วย ซึ่งอาจมีแตกต่างกันบ้าง โดย Canadian guideline จะให้คำแนะนำของยาป้องกันว่าแนะนำอย่างมาก (strong or weak) และมี คุณภาพของการศึกษาอย่างไร (low or high quality evidence) โดยได้มีการพิจารณาอย่างรอบด้านได้แก่หลักฐานจากงานวิจัย ผลข้างเคียง ราคา ซึ่งยาป้องกันที่เป็น strong, high quality evidence ได้แก่ Propranolol และ Topiramate

.

การปรับยาป้องกันไมเกรน 

การให้ยาป้องกัน จะให้แบบ start low, go slow คือเริ่มยาในขนาดที่น้อยและค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เช่น Topiramate ขนาดรักษาเท่ากับ 25-200 mg/d ก็จะเริ่มที่ขนาด 25 mg/d ก่อน จากนั้นเพิ่มเป็น 50 mg/d ในสัปดาห์ต่อมา (การรับประทานให้ 25 mg เช้า เย็น เพื่อให้ระดับของยาในพลาสมามีความคงที่และลดผลข้างเคียงด้วย)

สำหรับโรคไมเกรนเรื้อรัง (chronic migraine) การลดลงของจำนวนวันของอาการปวดศีรษะอาจจะน้อยกว่าในการรักษาไมเกรนไม่เรื้อรัง (episodic migraine) โดยจากการศึกษาพบว่าจำนวนวันของอาการปวดศีรษธจะลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 3 วันต่อเดือน

การติดตามการตอบสนองของผู้ป่วยมีความสำคัญเนื่องจากแพทย์ต้องประเมินเพื่อพิจารณาในการปรับยา โดยการประเมินอาการโรคปวดศีรษะต้องประเมินจำนวนวัน (ใช้ headache diary) และ ผลกระทบ (ใช้ Headache Impact Test, HIT-6) เบื้องต้นและประเมินหลังการรักษา โดยการนัดจะทำการนัด 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือนในช่วงแรกและหากตอบสนองดี (จำนวนวันของอาการปวดศีรษะลดลง >50% ใน 2 เดือนหรือผลกระทบลดลง) ก็ให้ยาต่อเนื่องไปจนถึง 6 เดือน แต่หากไม่ตอบสนอง ต้องประเมินถึงสิ่งกระตุ้น การปรับชีวิตประจำวันว่าดีหรือไม่ รวมถึงพิจารณาในการปรับเปลี่ยนยาต่อไป

.

Aware of Migraine Mimics

นอกจากนี้ ในรายที่ตอบสนองต่อการรักษาไมเกรนไม่ดี แพทย์ต้องมองหาว่าอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นเป็นโรคอื่น ๆ ที่แสดงลักษณะอาการที่คล้ายกับโรคปวดศีรษะไมเกรนได้หรือไม่ เช่น โรค Hemicrania continua (HC) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะซีกเดียวอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับมีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติบริเวณใบหน้า ได้แก่ น้ำตาไหล ตาบวม ตาแดง และโรคปวดศีรษะชนิดนี้จะตอบสนองอย่างดีมากต่อยา Indomethacin

No comments yet, Be the first to comment.

Recommend Our Apps

Download our mobile app. Easy to connect with your patient.

Shape
  • Google Play
  • App Store